- ถ้าต้องไปร่วมชีวิตในค่ายผู้ลี้ภัย หน้าที่ไหนที่คุณน่าจะทำได้ดีที่สุด และคุณคิดว่าตัวเองจะทนได้ไหม โดยเฉพาะในวันและคืนที่ตัวเองมีลูกน้อยที่ต้องดูแลด้วยแล้วถึงสองคน
โอปอล์: ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องพวกนี้ปอล์กับพี่โอ๊คคุยกันตลอด คือเนื่องจากเป็นคนชอบดูละคร ในละครชอบมีฉากสงคราม ปอล์ถามพี่โอ๊คว่าถ้าเราเกิดมาในยุคสงครามเนี่ย เราจะไปอยู่หน่วยไหนวะ
หมอโอ๊ค: ผมนี่ก็ไม่ยาก คงจะไปอยู่หน่วยแพทย์ล่ะมั้ง (หัวเราะ)
โอปอล์: ส่วนปอล์ก็คิดว่าเราน่าจะอยู่โรงครัว เพราะว่ามีอาหาร ที่ไหนมีอาหาร ที่นั่นมีเรา (ยิ้ม) คือปอล์แค่รู้สึกว่าในทุกที่ แม้แต่ในค่ายผู้ลี้ภัยเหมือนกัน ทุกคนจะอยู่ในพื้นที่เล็กๆ แต่เราทุกคนล้วนมีความถนัดของตัวเอง เช่นกันกับคนที่อ่านบทความนี้อยู่ ถ้าอ่านแล้วคิดว่าแล้วฉันจะไปช่วยอะไรพวกเขาได้ ปอล์จะบอกว่าให้ใช้ความถนัดของตัวเอง อย่างตัวปอล์เป็นคนบันเทิงเบื้องหน้า ความถนัดของเราคือการพูดให้ทุกคนได้ยิน เราออกไปยืนข้างหน้าแล้วมีคนเห็นเยอะ พูดแล้วมีคนฟัง งั้นเราก็บอกต่อสิ
อย่างทุกครั้งที่บ้านเมืองเราเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แล้วคนในประเทศเราทำเรื่องน่ารักด้วยการใช้ความถนัดของตัวเองมาร่วมแรงร่วมใจกัน เช่น ใครเป็นแพทย์ก็มารวมตัวกันตั้งทีมอาสาสมัครไปลงพื้นที่ ใครร่างกายแข็งแรงก็ออกไปช่วยเหลือชาวบ้าน ใครทำอาหารได้ก็ทำข้าวกล่อง ผัดกันสู้ตาย เสร็จแล้วนำไปแจกจ่ายผู้ที่กำลังเดือดร้อน ฯลฯ ภาพต่างๆ เหล่านี้ปอล์ยังจำได้ นี่แหละ แค่นี้ก็ได้แล้ว
- โดยปกติแล้ว ‘ความทุกข์’ หรือ ‘ความลำบาก’ ที่สุดในชีวิตของคุณคือเรื่องอะไร และถ้าต้องได้ร่วมพูดคุย มุมมองแบบไหนในชีวิตที่คุณอยากจะทำความเข้าใจและร่วมแชร์กับเขามากที่สุด
หมอโอ๊ค: (หัวเราะ) ตัวเราเองก็ยังไม่ได้ละกิเลสได้หรอก เราเป็นคนธรรมดามาก ผมก็ใช้ชีวิตของตัวเองในทุกๆ วันเหมือนกับทุกคนนี่แหละ ถึงเวลาก็หงุดหงิดที่อากาศร้อน รถติด ซึ่งความจริงมันเทียบกันไม่ได้กับความทุกข์หรือปัญหาในระดับเดียวกับผู้ลี้ภัย
โอปอล์: ถ้าทุกข์ที่สุดของปอล์คือตอนที่เราต้องนอนนิ่งๆ ในโรงพยาบาลอยู่ 2 เดือน เราขยับตัวไม่ได้เลย เป็นอัมพาตตั้งแต่คอลงไปเพื่อลุ้นว่าลูกเราจะรอดหรือไม่ ปกติคนใกล้คลอดเขาจะมีความสุขที่จะได้เห็นหน้าลูกว่าหน้าตาจะออกมายังไง แต่ในสองเดือนนั้นคือเราต้องนอนนิ่งๆ ทั้งกิน ทั้งอึ และฉี่กันบนเตียง โดยไม่รู้ว่าเรากำลังต่อสู้กับอะไรอยู่ เราไม่รู้ว่าลูกในท้องจะออกมาเมื่อไร หมอบอกว่าโอกาสที่ลูกเราจะรอดเปอร์เซ็นต์น้อยมาก และถ้าคลอดออกมา คุณแม่ต้องเตรียมรับว่าลูกอาจจะตาบอด ลูกจะพิการทางสมอง นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราใน 2 เดือนนั้น และมันเปลี่ยนเราไปเลย
ที่รู้สึกเปลี่ยนที่สุดคือ ตอนนั้นสิ่งที่เราทำได้คือการนอนภาวนาให้ทุกอย่างมันดีขึ้น เรารู้ว่าเมื่อเกิดวิกฤตอย่างนั้น เราต่อรองกับอะไรไม่ได้เลย ที่แย่ที่สุดไม่ใช่เรื่องปอล์จะตายหรือลูกจะตาย แต่คือการที่ปอล์เห็นพี่โอ๊คทุกข์ทรมาน ตอนนั้นพี่โอ๊คคือคนที่ต้องเดินไปคุยกับหมอแล้วรับรู้ว่าโอปอล์มีอาการหัวใจวายนะ ลูกแทบจะไม่มีโอกาสรอดนะ ถ้ามีโอกาสรอด ลูกจะเป็นอย่างนี้ แล้วเขาแบกทุกอย่างไว้
ปอล์เห็นภาพตอนที่เขาหน้าแย่ๆ แต่พอผลักประตูเข้ามาแล้วเขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับปอล์ พอเห็นทุกอย่างแล้วมันก็ทำให้ปอล์คิดได้ว่าคนเราสุดท้ายก็เท่านี้.. แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สมมติว่าถ้าวันนั้นลูกปอล์ไม่รอดเลยสักคน อย่างน้อยเราก็มีกันและกัน แต่ถ้าวันนั้นปอล์ไม่รอด แล้วพี่โอ๊คจะอยู่กับใคร แล้วระหว่างนั้นถ้าวันหนึ่งพี่โอ๊ครับกับสภาวะเครียดแบบนั้นไม่ได้ ปอล์จะทำยังไง นั่นคือสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตปอล์ไปเลย
หมอโอ๊ค: สำหรับผม เหมือนความทุกข์ครั้งนั้นมันทำให้เราเข้าใจโลกมากขึ้น เพราะก่อนหน้านั้นเราปกิณกะมากจริงๆ บอกเลยว่าเหมือนกันทั้งคู่ โอปอล์อยู่ในแวดวงบันเทิง ผมอยู่ในแวดวงความงาม โอ้โห มันคือยอดสูงสุดของพีระมิดแล้วจริงๆ ความฟุ่มเฟือยทุกประการอยู่ที่เราจริงๆ ครับ
โอปอล์: ความทุกข์ที่สุดคือตามซื้อของไม่ทันในคอลเล็กชันนั้น คือกลวงมาก
หมอโอ๊ค: เราเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วเราไม่เคยเข้าใจอะไรเลย แต่พอผ่านเรื่องนี้มา เราสองคนเริ่มเข้าใจความเป็นมนุษย์ เริ่มเข้าใจแล้วว่าเราอยู่ไปเพื่ออะไร เข้าใจคุณค่าของชีวิต และเข้าใจว่าบางอย่างก็เป็นเรื่องที่เราต่อรองไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องความแท้จริงของมนุษย์
ความเป็นความตายคือเรื่องใหญ่ที่สุด มีเงินเท่าไร มีชื่อเสียงแค่ไหนก็ต่อรองไม่ได้
นั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมมองถึงกิจกรรมเหล่านี้มากขึ้น
อย่างหนึ่งเลย ในฐานะพ่อแม่จากมุมที่เปลือกมากคืออยากให้ลูกน่ารัก อยากได้ตาโอปอล์ จมูกเหมือนผม อยากให้ลูกเรียนเก่ง เมื่อก่อนคิดกันอยู่แค่นั้น แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เปลี่ยนมุมคิดว่าสิ่งสำคัญคือการมีชีวิตอยู่
ผมไม่ได้จะเคลมว่าผมกับโอปอล์เป็นพ่อแม่ที่ดีที่สุดในโลกนะ ที่พูดนี่ไม่ได้ต้องการคำยกย่องใดๆ เพราะเราก็เป็นแค่ปุถุชนธรรมดา คือทำผิดพลาดได้อยู่เสมอ แต่อย่างหนึ่งคือเราอยากเลี้ยงลูกให้เป็นประชากรของโลก เรารู้สึกว่าเขาต้องมีฝัน รู้ว่าตัวเองมีคุณค่า และอย่าประเมินตัวเองต่ำ ประชาชนไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อใช้ชีวิต หาเงิน ซื้อของ แล้วก็ตายจากไป ผมอยากให้เขาได้ในเรื่องนี้ ยิ่งผมกับครอบครัวมาร่วมกันทำอะไรแบบนี้ ผมรู้สึกว่ามันเป็นการย้ำ สอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่ผมจะได้บอกกับลูกต่อไปในอนาคต
โอปอล์: มีอยู่ตอนหนึ่งที่ปอล์หัวใจวาย ความรู้สึกมันเหมือนคนจมน้ำน่ะ ปอล์ทำได้แค่นอนอยู่แล้วเหมือนตัวเองกำลังจะขาดใจ ความรู้สึกเหมือนในหนังจริงๆ นะ คือปอล์ตะกุยเตียง ปอล์ต้องใช้ออกซิเจนช่วย หมอต้องให้ยาโดยการเจาะเข้าเส้นเลือดตลอดเพื่อไม่ให้ลูกคลอด ซึ่งยาตัวนี้มันมีผลข้างเคียงคือทำให้หัวใจวาย เราก็กดออดเรียกพยาบาล จนกระทั่งพยาบาลกับพี่โอ๊ควิ่งเข้ามา
หลังจากวันนั้นปอล์รู้สึกเลยว่าคนเรามันตายได้ง่ายๆ แบบนี้เลยใช่ไหม คือเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่ต่อรองกับอะไรไม่ได้เลย หลังจากนั้นปอล์มานั่งคิดเลยว่าที่ผ่านมาเราทำอะไรกับชีวิตบ้าง เราเป็นลูกที่ดีพอหรือยัง เราเป็นเมีย เป็นเพื่อน เป็นพี่ที่ดีพอหรือยัง ตอนนั้นปอล์คิดจริงๆ นะว่าถ้าเรารอดไปได้ เราจะทำทุกอย่างให้ดีขึ้น ปอล์รู้สึกเหมือนเราได้ second chance ให้มีชีวิตต่อ ฉะนั้นเราจะคิดให้มากกว่าที่ปอล์เคยคิดถึงแต่ตัวเอง
ครั้งหนึ่งปอล์เคยอยากให้ลูกเป็นหมอเหมือนพี่โอ๊ค แต่พี่โอ๊คเป็นคนสะกิดว่าเราต้องมองไปให้ไกลกว่านั้นแล้วล่ะ คือไม่ใช่คิดว่าอยากให้ลูกเป็นอะไร หรือมีเงินเท่าไร แต่ลูกต้องคิดไปถึงขนาดที่ว่า เขาจะเปลี่ยนโลกยังไงได้บ้าง ซึ่งตรงนั้นมันยิ่งใหญ่สำหรับปอล์มากนะ เพราะเราก็ไม่เคยนึกว่าจะได้มาใกล้ชิดกับคนที่มีวิชันยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แต่ถ้าเราคิดไปให้ไกล มันไม่ใช่เรื่องของตัวเงิน ไม่ใช่เรื่องการการประสบความสำเร็จ
เราจะทำให้โลกที่เราอยู่ดีขึ้นได้ยังไง คิดถึงคนอื่นมากขึ้น หมายถึงคิดว่าตัวเองเป็นประชากรโลก อย่าง ‘ผู้ลี้ภัย’ เนี่ย หลายคนรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนไทย ทำไมต้องช่วย ประเทศไทยก็ไม่ได้ร่ำรวย ไม่ได้เจริญขนาดนั้น แต่ถ้าเรามองว่าทุกคนเป็นมนุษย์เหมือนกัน ทุกคนคือหนึ่งในประชากรของโลก มันจะไม่มีคำว่าเขาไม่ใช่คนไทย เขาเป็นมนุษย์ ฉะนั้นต้องมองข้ามผ่านเรื่องเพศ ข้ามผ่านเรื่องเชื้อชาติไปได้แล้ว นาทีนี้มันเป็นเรื่องของมนุษย์
หมอโอ๊ค: ตรงนี้ผมขอต่อพูดแล้วกัน เพราะผมได้ยินบ่อยมาก และเป็นคอมเมนต์แรกเลย เมื่อก่อนที่เราเริ่มต้นเข้าร่วมกับ UNHCR แม้แต่เพื่อนที่ใกล้ชิดกับเราเขายังพูดว่า “ไปทำอะไร… ไร้สาระ ทำแล้วได้อะไร อ๋อ อยากได้ชื่อเหรอ…” ทุกคนก็มองกันแบบนี้ ซึ่งเราก็เข้าใจเขานะ เขาไม่ได้มีเจตนาร้ายหรอก เขามองเพราะเขาไม่ทราบไง แต่เรารู้สึกว่าเรามองไปมากกว่านั้น มันเป็นเรื่องของมนุษย์จริงๆ
โอปอล์: สุดท้ายนี้สิ่งที่คิดว่าเราเองจะแชร์ได้ดีที่สุด คิดแทนง่ายๆ เลยว่าในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ลองจินตนาการดูว่าถ้าคุณเป็นเขา คุณจะทำยังไงต่อไปกับชีวิต แล้วขอขอบคุณทุกอย่างที่คุณไม่ได้เป็นเขา และคิดต่อว่าถ้าอย่างนั้นเราจะทำอะไรเพื่อเขาได้บ้าง นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและกำลังเกิดอยู่ในเวลานี้ พวกเขากำลังต้องการความช่วยเหลือ พวกคุณช่วยได้ง่ายมาก แค่หยิบโทรศัพท์แล้วกด sms ครั้งละ 30 บาท หรือเข้าเว็บไซต์เพื่อโอนเงินในจำนวนที่พอช่วยได้ บางทีจำนวนอาจไม่ต้องมาก แต่ถ้าหลายคน มันช่วยเปลี่ยนโลกได้ หรือถ้าตอนนี้กำลังทรัพย์เราไม่มี บอกต่อ แชร์บทความ สร้างความตระหนักรู้ให้เป็นวงกว้าง ปอล์เชื่อว่าจะต้องมีใครอีกหลายคนที่มีความพร้อมเพื่อจะแบ่งบันสิ่งเหล่านี้
*ขอขอบคุณบทสัมภาษณ์จาก THE STANDARD ค่ะ