ภัยพิบัติครั้งนี้ทำให้อย่างน้อย 1,480 คน เสียชีวิต และบ้านเรือนมากกว่า 30,000 หลัง ถูกทำลายหรือได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ในหมู่บ้านแห่งนี้ เกือบทุกคนยังต้องนอนในพื้นที่เปิดโล่ง จำนวนมากสูญเสียบ้าน ขณะที่จำนวนหนึ่งหวาดกลัวเกินกว่าจะกลับไปเนื่องจากมีความเสี่ยงของการเกิดอาฟเตอร์ช็อก
สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) และพันธมิตรกำลังส่งมอบเต็นท์ที่พักพิงฉุกเฉิน และสิ่งของบรรเทาทุกข์อื่น ๆ ได้แก่ ผ้าห่ม ตะเกียงพลังงานแสงอาทิตย์ ผ้าพลาสติกอเนกประสงค์ และถังแก๊สสำหรับประกอบอาหาร นอกจากนี้ผู้หญิงยังได้รับชุดสิ่งของบรรเทาทุกข์เพื่อสนับสนุนการดูแลสุขอนามัย
ฮูไมรา วัย 32 ปี และครอบครัวเป็นหนึ่งในกว่า 300 ครอบครัว ที่ได้รับความช่วยเหลือ
เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ฮูไมรา คลอดลูกในคลินิกท้องถิ่นตอนเช้าตรู่และเดินทางกลับมาบ้านพร้อมกับลูกของเธอ เธอกำลังเตรียมของทานเล่นตอนที่เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.3 แมกนิจูด เธออุ้มลูกชายตัวน้อยเอาไว้และนั่งอยู่บนทางเดิน เธอสับสน และยังคงอ่อนแอหลังจากการคลอด สามีของเธอและลูก ๆ อีก 7 คน พบเธอร่างกายเต็มไปด้วยฝุ่นจากหลังคาที่ถล่มลงมา บ้านของเธอมีรอยแตกบนกำแพงและบนพื้น ขณะที่ผนังระเบียงด้านนอกพังทลายลงมา
“ฉันรู้สึกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของลูก และกลัวว่าเขาจะตาย ฤดูหนาวนี้เราต้องการที่พักพิงที่เหมาะสม”
-ฮูไมรา-
ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ครอบครัวของเธอต้องพักพิงอยู่ด้านนอก มีเพียงผ้าห่มไม่กี่ผืน และผ้าพลาสติกที่ไม่แข็งแรงใช้กางเป็นหลังคา “ลมแรงทำให้ที่พักสั่นตลอดทั้งวันทั้งคืน มีแมลงเข้ามาเยอะมาก ทั้งพื้นและผ้าห่มเปียกไปหมดทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพตามมา” ฮูไมรา เล่า และเสริมว่าลูกของเธอร้องไห้ตลอดเวลาเพราะอากาศเย็น
อันตรายจากการนอนกลางแจ้งเห็นได้ชัดเจน ถัดจากที่พักพิงชั่วคราวของพวกเขามีโครงสร้างบ้านที่ถูกทิ้งได้รับความเสียหาย ข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดที่เหลืออยู่ในที่พักพิงของครอบครัวอื่นถูกลมแรงพัดปลิวไปเมื่อคืนก่อน “ด้วยเต็นท์ใหม่ มันต้องดีกว่าแน่นอน เราจะมีพื้นที่และความสะดวกสบายมากขึ้น” เธอกล่าว แต่เธอยังกังวลเกี่ยวกับลูกที่เพิ่งเกิดของเธอ “เขายังเล็กและต้องการการดูแลอย่างเหมาะสม ฉันกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของเขา และกลัวว่าเขาอาจเสียชีวิต… เราจึงต้องการที่พักพิงที่เหมาะสมสำหรับฤดูหนาวนี้จริง ๆ”
หน่วยงานที่มอบความช่วยเหลือรวมถึง เรียกร้องความช่วยเหลือฉุกเฉินเพื่อยกระดับการทำงานและการตอบสนองต่อความต้องการที่จำเป็นเร่งด่วน แต่สถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้นทั่วโลกและภาระของผู้บริจาคที่มีมากอยู่แล้วทำให้หน่วยงานต่าง ๆ ต้องต่อสู้กับงบประมาณที่ขาดแคลน ก่อนเกิดแผ่นดินไหว ประเทศอัฟกานิสถานต้องเผชิญกับวิกฤตด้านมนุษยธรรมร้ายแรง และตอนนี้ยังมีสถานการณ์ฉุกเฉินเนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างปากีสถานเริ่มส่งชาวอัฟกันที่ไม่มีเอกสารกลับประเทศทุกวัน
เต็นท์ที่พักผู้รอดชีวิตจากแผ่นดินไหวและผู้ที่ถูกผลักดันกลับตั้งเรียงรายริมถนนในและบริเวณโดยรอบของเมืองเฮรัต และล้อมรอบป้อมปราการอายุหลายร้อยปี
บ้านโดมที่สร้างจากดินแบบดั้งเดิมในเขต Zinda Jan ห่างออกไปราว 90 นาทีจากกลางเมือง และที่จุดศูนย์กลางของการเกิดแผ่นดินไหวครั้งแรกถูกทำลายราบคาบ ตอนนี้พายุทราย และลมหนาวปะทะผู้ที่ต้องพักพิงอยู่นอกเต็นท์
“พวกเขาร้องไห้ทุกวัน เพราะคิดถึงพี่สาว”
–ชาริฟา–
ในเต็นท์แบบนี้ ชาริฟา อายุ 25 ปี กำลังดูแลมาร์เซียลูกสาว ที่คลอดหลังจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งแรกเพียง 3 วัน แผ่นดินไหวทำลายบ้านของครอบครัวและทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 คน ในจำนวนนี้รวมถึงลูกสาววัย 8 ขวบของชาริฟา รุคชานา และซาบริยา ลูกสาวฝาแฝดวัย 4 ขวบ กำลังอ่อนแอ “ พวกเธอร้องไห้ทุกวัน คิดถึงพี่สาว” ซาริฟา เล่า
ผู้คนจำนวนมากกำลังตื่นตระหนก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงและเด็กที่ส่วนมากพักอยู่ในบ้านตอนที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งแรกและแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุด UNHCR มอบความช่วยเหลือเพื่อเยียวยาจิตใจผ่านองค์กรพันธมิตร ช่วยให้พวกเขาฟื้นฟูจากความบอบช้ำ
ตอนที่เกิดแผ่นดินไหว ผู้คนจำนวนมากเช่นกาซี กำลังทำงานอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ในอิหร่าน เขาเดินทางกลับมาและพบว่าบ้านของครอบครัวถูกทำลาย
“เราต้องสร้างบ้านขึ้นมาใหม่ แต่เราไม่มีเงินจ่ายจ้างคน”
– กาซี –
“ผมกำลังทำอิฐจากดินเพื่อสร้างบ้านขึ้นมาใหม่” เขาเล่า พร้อมชี้ไปที่กองสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รอบ ๆ ที่พักที่ทำขึ้นจากผ้าพลาสติกอเนกประสงค์ “บ้านของเรารอดจากแผ่นดินไหวครั้งแรก แต่พังลงมาตอนเกิดแผ่นดินไหวครั้งที่สอง เราต้องสร้างมันขึ้นมาใหม่ แต่เราไม่มีเงินจ้างคน”
ไม่ต่างจากกาซี ความกังวลหลักของชารีฟาคือการหาที่พักพิงที่ดีกว่าก่อนฤดูหนาวจะมาถึง “การใช้ชีวิตในเต็นท์ลำบากมาก เราไม่มีเสื้อผ้าให้ลูกที่เพิ่งเกิด ไม่มีเปล มันทั้งหนาวเย็นและลมแรง และเกือบทุกคนในบ้านป่วย เราต้องการความช่วยเหลือ”
Share on Facebook Share on Twitter