นายฟิลิปโป กรันดี ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ร่วมกับหัวหน้าองค์กรด้านมนุษยธรรมอื่นๆ เรียกร้องรัฐบาลโดยพฤตินัยของอัฟกานิสถานให้เพิกถอนคำสั่งการจำกัดการทำงานของผู้หญิงในองค์กรพัฒนาเอกชน
“การกีดกันผู้หญิงจากการทำงานด้านมนุษยธรรมเป็นการปฏิเสธความเป็นมนุษย์ของพวกเธออย่างรุนแรง ซึ่งจะมีแต่ส่งผลให้ชาวอัฟกันโดยรวมต้องตกอยู่ในความทุกข์ทรมานและความยากลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็ก การออกคำสั่งห้ามครั้งนี้ต้องถูกยกเลิก” นายกรันดี กล่าว
เจ้าหน้าที่หญิงมากกว่า 500 คน ทำงานกับองค์กรพัฒนาเอกชนที่เป็นพันธมิตรของ UNHCR ในประเทศอัฟกานิสถานเพื่อมอบความช่วยเหลือแก่ผู้หญิงและเด็กเกือบ 1 ล้านคน การจำกัดการทำงานครั้งล่าสุดนี้จะบีบบังคับให้ UNHCR ต้องหยุดกิจกรรมที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการช่วยเหลือชาวอัฟกันเป็นการชั่วคราว โดยเฉพาะต่อผู้หญิงและเด็ก
นอกจากการมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่สำคัญแล้ว เจ้าหน้าที่ผู้หญิงต่างทำงานอยู่แนวหน้าในโครงการต่างๆ ที่พยายามหาทางออกให้แก่ชาวอัฟกันที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งและการประหัตประหารมามากกว่า 4 ทศวรรษ รวมถึงผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นในประเทศหลายล้านคน ซึ่งในจำนวนนั้น 3.4 ล้านคนกำลังพลัดถิ่นอยู่ในอัฟกานิสถาน และอีก 2.9 ล้านคนกำลังพลัดถิ่นอยู่นอกประเทศ เป็นผู้ลี้ภัย
“การจำกัดสิทธิอย่างเข้มงวดต่อผู้หญิงชาวอัฟกันและลดการมีส่วนร่วมของพวกเธอในการทำงานด้านมนุษยธรรมและการพัฒนา จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะผลักดันให้ครอบครัวอีกมากมายถูกบังคับให้หนีข้ามชายแดนในฐานะผู้ลี้ภัย อีกทั้งยังเป็นการลดทอนทางออกระยะยาวที่ได้คาดการณ์ไว้สำหรับผู้ที่พลัดถิ่นอยู่เดิมแล้ว เช่น การตัดสินใจเดินทางกลับสู่มาตุภูมิด้วยความสมัครใจเพื่อสร้างชีวิตใหม่” นายกรันดี กล่าว
ใน 34 จังหวัดของอัฟกานิสถาน ผู้หญิงได้ทำหน้าที่ผู้นำและมีส่วนร่วมในการรับมือด้านมนุษยธรรมอย่างขันแข็งมาโดยตลอด ทำให้ UNHCR สามารถเข้าถึงชาวอัฟกันมากกว่า 6 ล้านคนตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 นอกจากข้อจำกัดอื่นอีกมากมายต่อผู้หญิง คำสั่งครั้งใหม่นี้จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชากรชาวอัฟกันเองเป็นจำนวนโดยประมาณ 40 ล้านคน
#UNHCR #WithRefugees #Afghanistan #อัฟกานิสถาน
Share on Facebook Share on Twitter