บทความนี้สรุปจากสิ่งที่นายบาบาร์ บาลอช โฆษกของ UNHCR ได้แถลงต่อสื่อที่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ นครเจนีวา วันที่ 13 กรกฎาคม 2564
สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เตือนถึงวิกฤตด้านมนุษยธรรมในประเทศอัฟกานิสถานที่กำลังปรากฎชัดขึ้นจากความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงส่งผลต่อความทุกข์ทรมานของมนุษยชาติและการพลัดถิ่นของพลเมือง
ชาวอัฟกานิสถานกลุ่มใหม่ราว 270,000 คน ต้องพลัดถิ่นอยู่ภายในประเทศตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2564 จากความไม่มั่นคงและความรุนแรง ทำให้ประชากรทั้งหมดที่ต้องออกจากบ้านเกิดของตนเพิ่มสูงกว่า 3.5 ล้านคน
หลายครอบครัวที่ถูกบังคับให้ออกจากบ้านของตนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมากล่าวว่าสถานการณ์ความมั่นคงที่เลวร้ายลงเป็นสาเหตุหลักให้พวกเขาต้องรีบหนีออกมา
นอกจากการต่อสู้ที่ยังคงยืดเยื้อ พลเมืองที่พลัดถิ่นบอกกับ UNHCR และพันธมิตรถึงเหตุการณ์การโดนขู่กรรโชกโดยกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่กลุ่มของรัฐบาล และการติดตั้งระเบิดแสวงเครื่องบนถนนสายหลักต่าง ๆ หลายที่รายงานว่าการบริการสังคมต้องหยุดชะงักและเกิดการสูญเสียรายได้จากความไม่มั่นคงมากขึ้น
จำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 29 ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้เมื่อเทียบกับ พ.ศ. 2563 ตามรายงานของหน่วยช่วยเหลือ โดยมีสัดส่วนของกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้หญิงและเด็กเพิ่มมากขึ้น
ความต้องการของผู้ที่ต้องหนีออกจากบ้านของตนมาโดยไม่ทันตั้งตัวมีสูงมาก UNHCR และพันธมิตรทำงานร่วมกันเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการประสานความร่วมมือมอบความช่วยเหลือแก่ผู้พลัดถิ่นชาวอัฟกานิสถานกลุ่มใหม่ด้วยที่พักพิงฉุกเฉิน อาหาร การดูแลสุขภาพ น้ำสะอาด และความช่วยเหลือด้านสุขอนามัย รวมถึงความช่วยเหลือด้านการเงินแม้ว่าจะมีความท้าทายในการเข้าถึงกลุ่มผู้เปราะบางก็ตาม
การปรับตัวของชาวอัฟกานิสถานได้ถูกผลักดันถึงขีดสุดจากความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ การพลัดถิ่นที่เพิ่มสูง ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นเป็นประจำ รวมถึงความแห้งแล้งและความยากจนถึงขีดสุด ประมาณร้อยละ 65 ของประชาชนชาวอัฟกานิสถานทั้งในและนอกประเทศเป็นเด็กและเยาวชน
ความล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลงสันติภาพในอัฟกานิสถานและการยุติความรุนแรงในปัจจุบันจะทำให้การพลัดถิ่นภายในประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงในประเทศเพื่อนบ้านและประเทศอื่น ๆ ด้วย
ประเทศอิหร่านและปากีสถานได้มอบที่พักพิงให้เกือบร้อยละ 90 ของผู้พลัดถิ่นชาวอัฟกานิสถาน โดยทั้งหมดเป็นผู้ลี้ภัยชาวอัฟกานิสถานที่ได้รับการลงทะเบียนแล้วมากกว่า 2 ล้านคน ทั้งสองประเทศได้มอบสิทธิ์ในการเข้าประเทศและความคุ้มครองแก่ผู้ลี้ภัยชาวอัฟกานิสถาน พร้อมบริการด้านสุขภาพและการศึกษาผ่านระบบของชาติ การต้อนรับและนโยบายการรวมผู้ลี้ภัยที่มีมายาวนานหลายทศวรรษและหลายชั่วอายุคนจะต้องไม่ถูกมองข้ามคุณค่าไป
UNHCR ยินดีต่อคำมั่นจากรัฐบาลต่าง ๆ ที่มอบการเข้าถึงการขอลี้ภัยท่ามกลางความท้าทายด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจและสังคมโลกในวิกฤตโรคโควิด-19 เราพร้อมสนับสนุนความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประเทศที่มอบที่พักพิงในกรณีที่มีผู้เดินทางเข้ามาเพิ่ม
เราเรียกร้องให้ประชาคมโลกยื่นมือช่วยเหลือรัฐบาลและประชาชนชาวอัฟกานิสถาน รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านในช่วงเวลาที่สำคัญนี้เพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและเพื่อแบ่งเบาภาระความรับผิดชอบ
ในปัจจุบันทรัพยากรช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมยังขาดแคลนอยู่อีกเป็นจำนวนมาก งบประมาณของ UNHCR ในสถานการณ์อัฟกานิสถาน (รวมถึงการปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวอัฟกานิสถานในประเทศปากีสถานและอิหร่าน) มีเพียงร้อยละ 43 ซึ่งยังขาดแคลนอยู่มากจากงบประมาณที่ต้องการทั้งหมดราว 11,110 ล้านบาท (337 ล้านเหรียญสหรัฐ)
Share on Facebook Share on Twitter