คุณยุทธชัย อดีตบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติ ปัจจุบันทำงานเพื่อช่วยยุติภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติในชุมชน จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย
ผมเกิดที่ประเทศไทยและรู้สึกผูกพันกับประเทศไทยและคนไทยตลอดมา ตั้งแต่เกิดมาผมก็ไม่เคยอาศัยอยู่ที่อื่น แต่เพราะครอบครัวของผมเป็นคนไร้รัฐไร้สัญชาติ ผมก็เลยเป็นคนไร้รัฐไร้สัญชาติไปโดยปริยาย พวกเราไม่ได้ถือสัญชาติไทยหรือมีสัญชาติของประเทศอื่น
ผมเป็นชาติพันธุ์ลาหู่ ครอบครัวของเรามาจากแม่ฮ่องสอน จังหวัดในภาคเหนือของประเทศไทย และได้ย้ายมาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่ตอนผมยังเป็นเด็ก คนไร้รัฐไร้สัญชาติทางภาคเหนือของไทยส่วนใหญ่ เป็นคนจากชนเผ่า ลาหู่ อาข่า ลีซู พอโตขึ้นผมได้รับ เลข 13 หลักจากภาครัฐ แต่ก็ยังไม่ได้รับสัญชาติไทย
“ก่อนที่จะได้รับสัญชาติ ผมใช้ชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกกังวลตลอดเวลา”
ผมได้รับการรับรองว่ามีสัญชาติไทยตอนเป็นวัยรุ่น ตอนนั้นเรียนอยู่ประมาณ ม. 2 หรือไม่ก็ ม. 3 ก่อนที่จะได้รับสัญชาติ ผมใช้ชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกกังวลตลอดเวลา ผมรู้สึกกลัวทุกครั้งเวลาที่เจอเจ้าหน้าที่ตำรวจ แม้แต่คนชาติพันธุ์ที่มีสัญชาติไทย เวลาเจอตำรวจยังรู้สึกหวาดกลัว ยิ่งถ้าเป็นคนไร้รัฐไร้สัญชาติก็ยิ่งกลัว ตัวผมตอนนั้นก็เหมือนกัน
ผมเจอกับปัญหามากมายเกี่ยวกับการศึกษา ตอนผมเรียนจบ ป. 6 และจะต้องเรียนต่อในระดับมัธยม ทางโรงเรียนบอกว่าผมไม่สามารถสมัครเรียนต่อได้ เนื่องจากผมไม่มีสัญชาติไทย ผมจึงขอคำแนะนำจากครูที่ปรึกษาว่าควรทำอย่างไรและขอให้ครูช่วยเหลือ ในที่สุดผมก็ได้มีโอกาสเรียนต่อ เพราะครูแนะนำให้ลุงที่มีสัญชาติไทยไปรับรองกับทางโรงเรียน จึงทำให้ผมสามารถเข้าเรียนได้
ผมเคยรู้สึกน้อยใจว่าทำไมคนอื่นสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ ในขณะที่ผมถูกจำกัดสิทธิ ทั้งๆที่ผมก็เกิดในประเทศไทยเหมือนกัน ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมคนอื่นถึงทำสิ่งนั้นได้ แต่ผมทำไม่ได้ ผมรู้สึกว่าทุกอย่างยุ่งยากไปหมด จะทำอะไรก็ติดขัดและมีอุปสรรคเสมอ
ผมจำวันนั้นในปี พ.ศ. 2543 ได้อย่างชัดเจนตอนที่พ่อบอกกับพวกเราพี่น้องว่า พวกเรากำลังจะได้รับสัญชาติไทย ทุกคนมีความสุขกันมากและยิ้มตลอดเวลาในขณะที่เดินทางไปที่ว่าการอำเภอเพื่อไปรับบัตรประชาชนไทย
พ่อของผมได้ยื่นคำร้องขอสัญชาติให้ทั้งครอบครัวหลังจากที่ลุงยื่นทำเรื่องขอไปก่อนหน้านั้นแล้ว ทั้งพ่อและแม่ของผมไม่เคยยื่นคำร้องขอสัญชาติมาก่อน เพราะไม่ได้เห็นความจำเป็นในการที่ต้องมีสัญชาติ และก็ไม่รู้ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร อีกทั้งต้องเดินทางไกลมากจากบ้าน เพื่อไปติดต่อยื่นเอกสารที่อำเภอ
“ตอนที่ยังเป็นคนไร้รัฐไร้สัญชาติ ตอนนั้นมันเหมือนอยู่ในความมืดและมีแต่ความไม่ชัดเจน แต่ว่าในตอนนี้หลังจากที่ได้สัญชาติไทย ผมรู้สึกได้ถึงแสงสว่าง”
เมื่อผมได้รับสัญชาติและเป็นคนไทยเต็มตัว ผมรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ เหมือนได้รับชีวิตใหม่ ต่างจากตอนที่ยังเป็นคนไร้รัฐไร้สัญชาติ ตอนนั้นมันเหมือนอยู่ในความมืดและมีแต่ความไม่ชัดเจน แต่ว่าในตอนนี้หลังจากที่ได้สัญชาติไทย ผมรู้สึกได้ถึงแสงสว่าง เหมือนชีวิตผมไม่มีอุปสรรคใดๆ แล้ว ผมก็รู้สึกสบายใจในทุกที่ที่ไป
หลังจากที่ได้บัตรประชาชนไทย ผมไม่กังวลเวลาเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตรวจและขอดูเอกสารประจำตัวอีกเลย ถ้าพูดถึงประโยชน์ที่ได้ในเรื่องของการศึกษาก็ยิ่งชัดเจน หลังจากที่จบการศึกษาระดับมัธยม ผมได้มีโอกาสขอทุนกู้ยืม กยศ เพื่อเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ถ้าผมไม่มีสัญชาติไทย ผมคงไม่มีโอกาสได้รับสิทธิตรงนี้และก็คงเป็นอุปสรรคในการเรียนต่อของผม
ปัจจุบันผมภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานชุมชนในพื้นที่ของมูลนิธิแอ๊ดเวนตีสเพื่อการพัฒนาและบรรเทาทุกข์ (ADRA, the Adventist Development and Relief Agency) ในพื้นที่จังหวัดเชียงรายที่ผมทำงานยังมีคนไร้รัฐไร้สัญชาติอยู่เป็นจำนวนมาก
ปัญหาหลักๆ ในพื้นที่ส่วนใหญ่คือคนไร้รัฐไร้สัญชาติไม่มีข้อมูลความรู้เกี่ยวกับกระบวนการยื่นคำร้องขอสัญชาติ เมื่อไม่มีความรู้ชาวบ้านก็ไม่มีความมั่นใจที่จะไปติดต่อเจ้าหน้าที่และติดตามผลด้วยตัวเอง
ผมและเพื่อนร่วมงานจะเข้ามาประสานงานในส่วนนี้ โดยจะช่วยในการเตรียมหลักฐานและรวบรวมเอกสารทุกอย่าง รวมถึงช่วยตรวจสอบในเบื้องต้นว่าเขามีสิทธิในสัญชาติไทยตามกฎหมายหรือไม่
ผมและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ พยายามสนับสนุนให้ชาวบ้านไปยื่นคำร้องขอสัญชาติด้วยตัวเอง แต่ถ้าเขามีปัญหาเรื่องการสื่อสารกับเจ้าหน้าที่อำเภอ อย่างเช่นกรณีของผู้เฒ่าไร้สัญชาติที่มักจะมีปัญหาเรื่องการสื่อสารภาษาไทย เราก็จะไปอำเภอพร้อมกับเขาและช่วยเป็นล่ามให้ หลังจากที่ยื่นคำร้องเสร็จแล้ว เราก็จะช่วยติดตามความคืบหน้าและส่งข่าวให้ทราบเป็นระยะๆ
นอกเหนือจากนี้ เราก็มีการเผยแพร่ความรู้ในเรื่องของสิทธิอื่นๆ ด้วย ไม่ใช่เฉพาะเรื่องสัญชาติอย่างเดียว โดยเราจะพยายามให้ชาวบ้านรู้ว่าเขามีสิทธิอะไรบ้าง โดยเฉพาะเรื่องที่สำคัญและจำเป็นในชีวิตประจำวันเช่น การศึกษา การเดินทาง และการทำงาน เป็นต้น
ถึงแม้ว่าอุปสรรคยังคงมีอยู่ แต่ผมได้เผชิญมาด้วยตัวเองแล้วว่าการขจัดความไร้รัฐไร้สัญชาตินั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ถ้าทุกฝ่ายทำงานอย่างบูรณาการร่วมกัน ทั้งรัฐบาล ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และ สื่อมวชน พวกเราจะสามารถช่วยกันแก้ไขปัญหานี้ได้ เพียงเราร่วมมือและมีการวางเป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกัน และเราจะมั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งให้ไร้รัฐไร้สัญชาติอีกต่อไป
Share on Facebook Share on Twitter