บทความนี้สรุปจากสิ่งที่บอริส เชสเชอร์โคฟ โฆษก UNHCR แถลงต่อสื่อมวลชน ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ที่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ เมืองเจนีวา
หลังจากเหตุภูเขาไฟเนียรากองโกในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกระเบิดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ลงพื้นที่เพื่อมอบความช่วยเหลือแก่ชุมชนในเมืองโกมาที่ได้รับผลกระทบ
ประชาชนหลายพันคนต้องหนีออกจากบ้านกลางดึกของคืนวันเสาร์ เดินเท้า และนำมาเพียงที่นอนและสัมภาระอื่น ๆ ทันทีที่ลาวาไหลมาถึงเมืองโกมาเผาทำลายหมู่บ้านตลอดทางที่ไหลผ่าน ประชาชนจำนวนมากได้รับการต้อนรับให้พักพิงอยู่ร่วมกับครอบครัวในเมืองโกมาและพื้นที่โดยรอบ ขณะที่อีกหลายพันคนเดินทางข้ามชายแดนไปยังประเทศรวันดา
ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ระบุว่า มีผู้เสียชีวิต 32 คน จากอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับการปะทุของภูเขาไฟ ขณะที่อีก 7 คน เสียชีวิตจากลาวา และอีก 5 คน ขาดอากาศหายใจ เสียชีวิตจากแก๊สที่เป็นอันตราย
มีการส่งต่อความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องนำโดยกาชาด เพื่อตามหาครอบครัวให้กับเด็ก ๆ หลายร้อยคนที่พลัดหลงจากครอบครัวระหว่างหนีภัย
การไหลของลาวายุติลงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ยังมีเหตุแผ่นดินไหวเกิดขึ้นซ้ำอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การปะทุและทะเลสาบลาวาในปล่องภูเขาไฟยังมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ยิ่งทำให้เกิดความกังวลว่าจะเกิดรอยแยกใหม่หรือเกิดการปะทุขึ้นอีกครั้ง
ภูเขาไฟเนียรากองโกมีการปะทุครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2545ทำให้มีผู้เสียชีวิต 250 คน และอีกกว่า 100,000 คน ไร้บ้าน ภูเขาไฟแห่งนี้ยังเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่มีพลังและอันตรายมากที่สุดในโลก จึงยังคงต้องมีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
ประชาชนส่วนใหญ่ที่หนีออกจากพื้นที่รวมถึงประชาชนที่หนีข้ามชายแดนไปยังประเทศรวันดาส่วนใหญ่ได้เดินทางกลับบ้านแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา UNHCR พร้อมให้การสนับสนุนเจ้าหน้าที่ชาวรวันดาเพื่อจัดสรรความช่วยเหลือที่ต้องการและจำเป็นในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างต่อเนื่องแก่ผู้ที่ยังไม่เดินทางกลับมายังคองโก
UNHCR ได้เข้าร่วมประเมินความเสียหายกับรัฐบาลคองโก และหน่วยงานด้านมนุษยธรรมต่าง ๆ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ภาพจากมุมสูง แสดงให้เห็นว่าแนวการปะทุทางตอนใต้ของภูเขาไฟปลอดภัยแล้ว หมู่บ้าน 2 แห่ง ปลายสุดทางตอนเหนือของเมืองโกมาถูกทำลายและอีก 2 แห่ง ถูกปกคลุมด้วยลาวาเกือบทั่วทั้งพื้นที่ เจ้าหน้าที่ของเรารับทราบข้อมูลจากครอบครัวที่สูญเสียบ้านและครอบครัวที่สูญเสียลูก ๆ หรือบุคคลอันเป็นที่รัก ทั่วทั้งพื้นที่ถูกตัดขาดโดยปราศจากไฟฟ้าและมีความกังวลว่าอาจเกิดความขาดแคลนด้านน้ำสะอาด
เส้นทางที่นำไปสู่ตอนเหนือของจังหวัดคีวูเหนือ ได้รับความเสียหายจากลาวา ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการขนส่งอาหารและสิ่งของบรรเทาทุกข์ไปยังพื้นที่โดยรอบของเมืองเบนิ ซึ่งมีผู้คน 280,000 คน พลัดถิ่นจากความขัดแย้งและปัญหาด้านความมั่นคงตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2564 ที่ยังต้องพึ่งพาความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เมืองเบนิ อยู่ห่างออกไปทางตอนเหนือของเมืองโกมาราว 240 กิโลเมตร และเส้นทางการลำเลียงความช่วยเหลือเส้นทางอื่นถูกปิดเนื่องจากการปิดชายแดนตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
UNHCR กำลังเตรียมพร้อมมอบความช่วยเหลือให้กับผู้ที่ต้องการที่พักพิงและสิ่งของบรรเทาทุกข์ในพื้นที่เมืองโกมาโดยความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ ขององค์การสหประชาชาติ องค์กรพันธมิตรและหน่วยงานที่ให้การตอบสนองในสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาล เราต้องการงบประมาณเร่งด่วนเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ UNHCR ได้รับงบประมาณเพียงร้อยละ 17 จากงบประมาณที่ต้องการทั้งหมดราว 6,425 ล้านบาท สำหรับการทำงานในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
ภัยพิบัติครั้งล่าสุดนี้เกิดขึ้นซ้อนกับวิกฤตผู้พลัดถิ่นเดิมที่ทำให้ประชาชนมากกว่า 2 ล้านคน ต้องพลัดถิ่นจากความรุนแรงในจังหวัดคีวูเหนือ ซึ่งมีเมืองโกมาเป็นเมืองหลวง โดยในปีนี้ปีเดียวมีประชาชนมากถึง 450,000 คน ถูกบังคับให้หนีจากบ้าน UNHCR ยังคงทำงานร่วมกับรัฐบาล เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และองค์กรพันธมิตรเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ มอบที่พักพิง สิ่งของบรรเทาทุกข์ และสนับสนุนกิจกรรมการมอบความคุ้มครองในท้องถิ่น รวมถึงประเมินการให้ความคุ้มครองเพื่อแก้ไขปัญหาในภาพรวม
Share on Facebook Share on Twitter